วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

ขนมกรุบกรอบภัยร้ายใกล้ตัว


/data/content/25722/cms/e_fgiklnuz5678.jpg

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ส่วนตัวแล้วไม่ได้มีความคิดจะต่อต้านการรับประทานขนมของน้องๆ หนูๆ นะคะ เพราะขนมก็เหมือนกับอาหารประเภทอื่นๆ คือบางชนิดมีประโยชน์และบางชนิดรับประทานแล้วก็ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย ที่เห็นโดยทั่วไปก็คือ คุณพ่อคุณแม่มักจะคิดว่า การให้ลูกตัวเล็กรับประทานอาหารขนมขบเคี้ยว ขนมหวานหรือแม้แต่ไอศกรีมแค่ไม่กี่ครั้งต่อเดือน ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกและผิด
          
          ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า ถ้าสังเกตดูชั้นขายนมตามซูเปอร์มาเก็ตเราจะพบว่า มีนมชนิดที่ lactose free กับนม whole milk หรือจะนมไขมัน 0% ขณะที่วางอยู่ใกล้ๆ กันคือ น้ำนมถั่วเหลือง สำหรับเด็กที่แพ้นมวัว นั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า เด็กสามารถพัฒนาการแพ้อาหารและสารอาหารได้ตั้งแต่ยังแบเบาะ ในทางตรงข้ามเด็กบางคนก็ไม่ได้มีอาการแพ้สารอาหารชนิดใดเลย ยังคงรับประทานนมวัวได้ตามปกติ นั่นก็เป็นเพราะ ความถี่และความทนของเด็กแต่ละคนมีไม่เท่ากัน เด็กบางคนสามารถรับประทานอาหารบางประเภทได้ แต่เด็กบางคนก็รับประทานไม่ได้ เพราะเมื่อรับประทานแล้วร่างกายจะแสดงผลออกมาโดยทันที รวมถึงจำนวนหรือปริมาณที่รับประทานเข้าไปก็ย่อมส่งผลเช่นเดียวกัน จะพบได้ว่า เด็กบางคนรับประทานน้อยแต่ก็แพ้ แต่เด็กบางคนรับประทานมากแต่ไม่แพ้ เป็นต้น
          
          เมื่อตอนที่แล้ว ได้เกริ่นถึงตัวร้ายทำลายสมองซึ่งนั่นก็คือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอาหาร ซึ่งสามารถอธิบายได้คร่าวๆ คือ เมื่อเรารับประทานน้ำตาลที่ไม่ดี หรือสารปรุงแต่งที่ไม่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ชีวเคมีของร่างกายทำงานไม่สมดุล ดังนั้น สมองในฐานะตัวควบคุมจะรีบส่งสัญญาณไปยังต่อมหมวกไต (เนื่องจากต่อมหมวกไตมีหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนที่จะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ทำให้จำนวนกลูโคส ซึ่งถือว่ามีความสำคัญในการทำงานของสมองมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนไกลโคเจนจะถูกสะสมในตับมากขึ้น)  เมื่อต่อมหมวกไตได้รับสัญญาณก็จะผลิต stress hormone (หรือฮอร์โมนแห่งความเครียด) ออกมา เมื่อ stress hormone ออกมามากทำให้สมองส่งคำสั่งไปยังร่างกายส่วนต่างๆ ให้เคลื่อนไหวเพื่อลดภาวะความเครียดนั้น เพราะสมองรู้ว่า การเคลื่อนไหวเป็นการปรับให้ชีวเคมีของร่างกายกลับมาสู่จุดสมดุล
          
          ดังนั้น เราจะพบว่า เด็กที่ชอบรับประทานขนมหรืออาหารที่มีส่วนประกอบเหล่านี้มากๆ ตั้งแต่ยังเล็กๆ กลับกลายเป็นเด็กที่ชอบวิ่งไปมา อยู่ไม่นิ่ง กระโดด ไม่นั่งอยู่กับที่ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมเด็กเหล่านี้จึงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กสมาธิสั้นเมื่อโตขึ้น
          
          มหาวิทยาลัย Yale ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับระดับน้ำตาลในสมองของเด็กที่รับประทานขนมเป็นประจำ (คือมากกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์) กับเด็กปกติแล้วพบว่า เด็กที่รับประทานขนมมีคะแนนน้อยกว่าเด็กปกติในด้านการเรียนและสมาธิในการเรียน รวมถึงเด็กเหล่านี้มักจะมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น พูดเร็ว วิ่งไปมา ไม่สนใจเรียน หลังจากที่รับประทานขนมผ่านไป 3 ชั่วโมง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงทันที และมีแนวโน้มที่จะรับประทานขนมมากขึ้นเพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

คอเลสเตอรอล ภัยเงียบ (ร้าย) ใกล้ตัว!

คอเลสเตอรอล ภัยเงียบ (ร้าย) ใกล้ตัว!



      ช่วงหลัง ๆ นี้ผมได้มีโอกาสติดตามข่าวสารทางหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะข่าวสารเรื่องสุขภาพที่มักจะติดอ่านเป็นพิเศษ เพราะตัวผมมีปรัชญาในการใช้ชีวิตว่า จะพยายามดูแลร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงรับปี 2010 และดียิ่ง ๆ ขึ้นตลอดไป ระหว่างที่อ่านข่าวทำให้รู้ว่าพักหลังผู้คนทั่วโลก มักป่วยเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดมากทีเดียว ทั้งในยุโรป อเมริกา และแถบเอเชีย และในแต่ละปี โรคหลอดเลือดหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ในเมืองไทย

              ส่วนสาเหตุนั้นก็มาจากหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกันหนึ่งในนี้คือ การที่ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมา ฟังแล้วประมาทไม่ได้จริง ๆ เมื่อรู้เช่นนี้แล้วทำให้พวกเรายิ่งต้องเพิ่มการดูแลใส่ใจสุขภาพกันมากเป็นพิเศษ ต้องหมั่นออกกำลังกาย และไม่กินอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าประเดี๋ยวโรคภัยจะถามหาเสียก่อน

              ผศ.ดร.ศรีวัฒนา ทรงจิตสมบูรณ์ สำนักงานวิจัย คณะแพทยศาสตร์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจไว้ในเว็บไซต์ www.healthsquare.org ว่าคอเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายใช้สร้างเป็นเยื่อบุเซลล์ สร้างเป็นฉนวนหุ้มเส้นประสาท สร้างฮอร์โมนต่าง ๆ ที่สำคัญคือฮอร์โมนเพศ 

              นอกจากนี้ยังใช้สร้างเกลือน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร ร่างกายของเราได้รับคอเลสเตอรอลจาก 2 ทาง คือ

               1.อาหารที่มาจากสัตว์ ทว่าอาหารที่มาจากพืชไม่มีคอเลสเตอรอล อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงอย่างเห็นได้ชัดคือ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง และสัตว์ที่มีกระดอง เป็นต้น

               2.ร่างกายสร้างขึ้นเองที่ตับ เมื่อตับได้รับคอเลสเตอรอลจากอาหารมาก การสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในตับจะลดลง ในทางกลับกันถ้าลดปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหาร ตับจะสร้างคอเลสเตอรอลขึ้นมาได้

              สำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Cardiovascular Disease ซึ่งความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้เกี่ยวข้องกับระดับคอเลสเตอรอลในเลือดอย่างมาก ที่ผ่านมามีการทดลองมากมายที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างระดับคอเลสเตอรอลในเลือดกับการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด

              จากการทดลองในปัจจุบันหลายครั้งพบว่าระดับไขมันในเลือดสูงยังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ ได้อีก เช่น โรคสมองเสื่อม เป็นต้น ผลการวิจัยในต่างประเทศยังบ่งชี้ด้วยว่าการลดลงของคอเลสเตอรอลทั้งหมดทุก ๆ 1 เปอร์เซ็นต์ จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้ถึง 2 เปอร์เซ็นต์

              ผมนึกถึงคำพูดที่กล่าวไว้ว่า You are what you eat ผมคิดว่าคงจะเป็นเรื่องน่ายินดีต่อสุขภาพอย่างยั่งยืนเลยล่ะครับ หากเรารู้จักรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ อาหารที่ว่านี้คืออาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว และมีระดับคอเลสเตอรอลต่ำ รวมทั้งอาหารที่มีเส้นยอาหารสูง ผมได้ยินมาว่าชาวต่างประเทศไม่น้อยเริ่มหันไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารที่มีส่วนผสมของ Plant Stanol Ester ซึ่งที่ผ่านมาในต่างประเทศมีบางคนก็เริ่มรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีส่วนผสมดังกล่าว เพราะมองว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ควรคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ

              บางทีผมก็สงสัยเหมือนกันว่า เมื่อคอเลสเตอรอลสูงแล้วทำให้เกิดโรคหัวใจได้อย่างไร เมื่อได้อ่านข้อมูลที่เป็นเอกสารจากมูลนิธิหัวใจได้อย่างไร เมื่อได้อ่านข้อมูลที่เป็นเอกสารจากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย จึงได้ทราบว่าปกติภายในหลอดเลือดจะมีผิวเรียบลื่นสม่ำเสมอ แต่เมื่อมีคอเลสเตอรอลมาจับที่ผนังหลอดเลือดจนพอกหนาเป็นตะกรันไขมัน (Plague) การสะสมของตะกรันไขมันทำให้หลอดเลือดค่อย ๆ ตีบลง ดังนั้น หัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อดันให้เลือดเคลื่อนที่ผ่านไปได้ ตะกรันไขมันสามารถขวางกั้นระบบไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงหัวใจ หรือสมองทำให้อวัยวะขาดเลือด เกิดกล้ามเนื้อหัวใจวาย หรือหลอดเลือดในสมองตีบได้

              ส่วนแนวทางการป้องกันไม่ให้เป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจก็คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และควบคุมน้ำหนักตัว รวมทั้งออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่จะช่วยให้มีสุขภาพดี ตามที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว

              ตอนที่ผมคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ www.heartandcholesterol.com จึงได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า วิธีการกินอาหารเพื่อลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดนั้น สามารถทำได้ นั่นคือการรับประทานคอเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม เมื่อคุณรับประทานอาหารในแต่ละวัน ซึ่งให้พลังงานรวมอย่างเพียงพอแล้ว คุณก็ต้องรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับปกติเช่นกัน

              ไม่เพียงแต่เท่านี้คุณยังต้องรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก (Linoleic Acid) โดยสม่ำเสมอ ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด ทั้งนี้การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ (เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี ควรได้กรดไลโนเลอิกประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลืองประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ) จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลอิสระ ให้เป็นคอเลสเตอรอลไลโนเลเอทเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาผลาญคอเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มมากยิ่งขึ้น

              ที่สำคัญคือ คุณต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมาก ๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คอเลสเตอรอลเป็นภัยร้ายใกล้ตัว เราต้องรู้เท่าทัน อย่าปล่อยให้คุกคามคุณจนถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ อยากแนะนำให้คุณถือโอกาสหลังปีใหม่นี้ เริ่มปฏิวัติเรื่องการกินและการดูแลตัวเองอย่างจริงจัง

              Plant Stanol คือสารสกัดซึ่งมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล โดยจะทำงานกับระบบในร่างกายเพื่อป้องกันการดูดซึมไขมันเลว ไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือด สกัดมาจากพืชธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวไรย์ และพืชอื่นๆ อีกหลายชนิด ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
    คุณระดับไขมันในเลือดให้ปกติ

               1.หลีกเลี่ยงอาหารพวกไข่แดง เครื่องในสัตว์ เนื้อติดมัน สมองสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด

               2.หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัว เช่น เนย ควรใช้ไขมันไม่อิ่มตัว อย่างเช่น น้ำมันรำข้าวแทน

               3.ลดการบริโภคน้ำตาล และของหวานต่าง ๆ

               4.เปลี่ยนวิธีการปรุงอาหารเป็น นิ่ง ต้ม ย่าง อบ แทนการทอดหรือผัด

               5.รับประทานผักและผลไม้ที่มีใยอาหารสูง เช่น ผักคะน้า ผักกาด ส้ม ฝรั่ง

               6.ควบคุมน้ำหนักอย่าให้มากเกินไป

               7.ออกกำลังกายกายให้สม่ำเสมอ

               8.ตรวจเช็คร่างกายอย่างสม่ำเสมอ

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

ดื่มชาอย่าใส่นม รักษาคุณค่าต่อหัวใจ

ดื่มชาอย่าใส่นม รักษาคุณค่าต่อหัวใจ



     งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ชาช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และทำให้เส้นเลือดใหญ่ขยาย อย่างไรก็ดี นักวิจัยจากโรงพยาบาลคาริตของมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เยอรมนี กลับพบว่า การใส่นมทำให้ประโยชน์ของชาในการปกป้องโรคหัวใจหมดไป

              ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีการบริโภคมากที่สุดทั่วโล กรองจากน้ำ ดังนั้น ประโยชน์ของชาจึงมีความสำคัญในแง่สาธารณสุข กระนั้น จนถึงขณะนี้กลับไม่มีใครรู้ว่า การเติมนมลงไปในชาจะให้ผลอย่างไร

              โดย ดร.เวเรนา สแตงล์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจของโรงพยาบาลคาริต และทีมนักวิจัยพบว่า โปรตีน casein ในนมทำให้ปริมาณสาร catechin ที่มีฤทธิ์ปกป้องโรคหัวใจลดลง

              นักวิจัยทีมนี้เชื่อว่า ผลการค้นพบซึ่งตีพิมพ์อยู่ในวารสารยูโรเปียน ฮาร์ต เจอร์นัล สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดประเทศอย่างอังกฤษที่ประชาชนนิยมดื่มชาใส่นม จึงไม่มีสถิติว่า การดื่มชาช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ

              นักวิจัยเปรียบเทียบผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำอุ่น ชาแบบเติมนมและไม่เติมนมกับผู้หญิงสุขภาพดี 16 คน โดยใช้อัลตราซาวด์ดูเส้นเลือดใหญ่บริเวณข้อมือก่อนและหลังดื่มชา 2 ชั่วโมง

              สิ่งที่พบคือ ชาดำทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับการดื่มน้ำอุ่น แต่เมื่อเติมนมลงไป คุณประโยชน์นั้นจะหายไปทันที

              การทดสอบกับหนูได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน กล่าวคือการกินชาดำ กระตุ้นให้ร่างกายของหนูผลิตสารไนตริกออกไซด์ที่ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว แต่เมื่อเติมนมลงไปในชา ปรากฏว่าไม่มีปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดขึ้น

              นอกจากนั้น ยังเป็นที่รู้กันว่าชามีฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง การศึกษานี้จึงอาจมีนัยต่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

              "การที่เติมนม ทำให้กิจกรรมชีวภาพของสารประกอบในชาเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงมีแนวโน้มว่า ผลในการต่อต้านเนื้อร้ายของชาอาจมีปฏิกิริยากับนมเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรศึกษาต่อไปเพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มชากับการต่อต้านมะเร็ง ว่า การเติมนมส่งผลแบบเดียวกับกรณีนี้ด้วยหรือไม่" ดร.สแตงล์ทิ้งท้าย 

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

เรื่องขิงๆ

เรื่องขิงๆ


    ขิงมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพซึ่งคุณอาจยังไม่รู้...

     ช่วยย่อยอาหาร

            ขิงสดมีคุณสมบัติขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ ช่วยย่อยอาหารแก้คลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากทานมากจนเกินไป หรือถ้าเมารถ นำขิงมาทุบให้แหลก คั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ และเกลือประมาณหยิบมือ ดื่มทันทีจะช่วยลดแก๊ส แก้ท้องอืดเฟ้อ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ

     คลายเครียด

            ขิงช่วยให้จิตใจผ่อนคลายสดชื่น โรยขิงแก่บดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะพูน ๆ เบคกิ้งโซดาในปริมาณเท่ากันลงในอ่างน้ำอุ่น นอนแช่ในอ่าง ปล่อยตัวตามสบายหลับตาและสูดหายใจเอาไอระเหยที่โชยขึ้นมาเป็นเวลา 15 นาทีจะช่วยให้ความกังวลต่าง ๆ หายไป คุณจึงรู้สึกผ่อนคลาย

     แก้หวัดด้วยขิง

            ขิงช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคแก้หวัดคัดจมูก หั่นขิงเป็นแว่น ๆ 4 ชิ้น ผสมกับลูกผักชีคั่วจนเหลืองครึ่งถ้วย ตามด้วยน้ำครึ่งลิตร นำไปต้มจนกระทั่งน้ำงวดลงครึ่งหนึ่ง จากนั้นกรองเอาแต่น้ำเติมน้ำผึ้งลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ ดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละหนึ่งถ้วยเวลาเป็นหวัด

     บรรเทาปวดกล้ามเนื้อ

            ในขิงมีน้ำมันหอมระเหย ใช้นวดตัวหลังออกกำลังกาย น้ำมันที่ซึมซาบเข้าสู่ผิวจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย หยดน้ำมันขิงหอมระเหย 5 หยดผสมกับน้ำมันเมล็ดองุ่น 15 มิลลิลิตร นำมานวดเท้า แขน ขา หรือไหล่ที่ปวด

     กระตุ้นให้เลือดไหลเวียน

            ด้วยการเติมขิงในอาหาร ถ้าคุณมีอาการมือเท้าเย็นการรับประทานขิงจะช่วยให้เส้นเลือดขยายตัว เลือดจึงไหลเวียนสะดวกไปทั่วร่าง รับประทานขิงสดหรือแก่สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

เกร็ดความรู้ เกี่ยวกับน้ำตาลในผัก

เกร็ดความรู้ เกี่ยวกับน้ำตาลในผัก



จริงอยู่ที่ว่าผักดีต่อ สุขภาพ คุณวิเศษของผักมีมากมาย แต่สำหรับคนที่เป็น โรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ อาจไม่เหมาะกับผักบางชนิด เกร็ดความรู้ สาระน่ารู้ ความรู้รอบตัว วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ ในการเลือกกินผักมาฝากกัน 
           

          ผักที่มีน้ำตาล 3-5 เปอร์เซ็นต์ 

          มะเขือ น้ำเต้า ใบตังโอ๋ ผักกาดขาว ผักกระเฉด แตงกวา บวบ ผักโขม ผักบุ้ง หน่อไม้ หัวผักกาดขาว ฟักเขียว ผักกาดหอม ผักบุ้งจีน ยอดฟักทอง เห็ดบัว แตงร้าน ผักตำลึง ผักกาดขาวปลี ขึ้นฉ่าย มะระ ถั่วงอก ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า กุยช่าย สายบัว ชะอม ดอกหอม กะหล่ำปลี 

          ผักที่มีน้ำตาล 5-10 เปอร์เซ็นต์ 

          ฝักถั่วลันเตา ใบชะพลู ต้นหอม ดอกกะหล่ำ ถั่วแขก ผักโขม หอมใหญ่ ใบทองหลาง ดอกโสน ถั่วพู มะรุม ดอกแค ขิง หน่อไม้ ข้าวโพดอ่อน หัวปลี กระเจี๊ยบ มะละกอดิบ ใบกระถิน ยอดและฝักอ่อนกระถิน 

          ผักที่มีน้ำตาล 15-20 เปอร์เซ็นต์ 

          ดอกขี้เหล็ก เมล็ดถั่วลันเตา ใบมะขามอ่อน ใบย่านาง ผักหวาน ลูกเนียง มันฝรั่ง 

          ผักที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์ 

          กระจับ กลอย เผือก มันเทศ ใบขี้เหล็ก แห้วจีน 


          อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอฟันธงกันชัดๆ เลยว่า ผักในกลุ่มที่มีน้ำตาล 20-30เปอร์เซ็นต์ ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคเบาหวาน องเช็คดูนะคะควรลดผักอะไรที่เป็นของชอบบ้าง 

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

พาราเซตามอล พิสูจน์แล้ว ไม่ช่วยแก้อาการปวดหลัง

พาราเซตามอล พิสูจน์แล้ว ไม่ช่วยแก้อาการปวดหลัง



 อาการปวดหลัง เชื่อว่ามีหลายคนประสบกับอาการนี้ ซึ่งเกิดมาจากการเมื่อยล้าในการทำงาน หรือการยกของหนัก และหลายคนก็เลือกที่จะพึ่งยาในการรักษา 

          ยาพาราเซตามอล เป็นยาสามัญประจำบ้านที่ผู้คนเข้าถึงง่ายที่สุด เพราะเมื่อเราเกิดอาการอะไรก็ตาม เราก็มักนึกถึงจะนึกถึงยาพาราเซตามอลเป็นอย่างแรก ไม่ว่าจะเป็นไข้ ตัวร้อน ปวดหัว แม้แต่คนที่มีอาการปวดหลังก็ยังกินยาตัวนี้เพื่อหวังว่าจะหายจากอาการที่กวนใจอยู่ แต่หารู้ไม่ว่า ล่าสุดมีผลวิจัยพบว่า ยาราพาเซตามอลกลับไม่ได้ช่วยในการบรรเทาอาการปวดหลังเลย

          โดยเว็บไซต์บีบีซี ได้ออกมารายงานว่า วารสารทางการแพทย์อย่างวารสารแลนเซ็ท (Lancet) ได้ตีพิมพ์บทวิจัยของนายแพทย์ คริสโตเฟอร์ วิลเลียม จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ซึ่งทำการศึกษากับผู้ป่วยจำนวน 1,650 คน ที่มีอาการปวดหลังติดต่อกันนาน 6 สัปดาห์ เพื่อพิสูจน์ว่ายาพาราเซตามอลยังคงสมควรเป็นทางเลือกในการรักษาอาการปวดหลังหรือไม่ ซึ่งนักวิจัยพบว่า นอกจากจะไม่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังโดยเฉพาะหลังส่วนล่างแล้ว ยาพาราเซตามอลยังไม่ได้ช่วยในการนอนหลับอีกด้วย

          และในอีกการวิจัยของนายแพทย์ แอนดรูว์ มัวร์ ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเชอร์ชิลในออกซฟอร์ด ได้เปิดเผยว่า ยาราพาเซตามอลไม่สามารถรักษาอาการปวดใด ๆ ได้ไม่ว่ากับใครก็ตาม ซึงนายแพทย์ทั้งสองท่านได้ให้คำแนะนำเหมือนกันว่า หากใครมีอาการปวดควรจะเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรที่เชียวชาญ เพื่อปรึกษาถึงอาการข้างเคียงและหาวิธีรักษาที่ดีกว่าการใช้ยาดังกล่าว

          การทานยาแม้ว่าจะเป็นการช่วยบรรเทาอาการป่วยของเราได้ แต่ในบางครั้ง การกินยาซ้ำซากหรือบ่อยครั้งจนเกินไปเพียงเพราะหวังว่าอาการที่เป็นอยู่นั้นจะหาย ก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะนอกจากจะทำให้เกิดการดื้อยาแล้ว ยังจะส่งผลเสียต่อตับและไตของเราในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ดีกว่า


วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

ดื่มน้ำเย็นจัด ลดขีดความสามารถสมอง

ดื่มน้ำเย็นจัด ลดขีดความสามารถสมอง



การดื่มน้ำเย็นจัด จะทำให้สดชื่น แต่ทราบหรือไม่ว่า การดื่มน้ำเย็นจัด จะลดขีดความสามารถของสมองลงได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีมาบอกกัน...

          วารสารนิวไซเอินทิสต์ ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยของทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลในอังกฤษ พบว่า คนที่ดื่มน้ำเย็นจัดในยามที่ร่างกายไม่ได้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำนั้น จะทำให้ขีดความสามารถในการทำงานของสมองลดลงไปทันที
          โดยน้ำเย็นจัดเพียงแค่แก้วเดียวก็มากพอที่จะทำให้สมรรถภาพทางจิตใจของบางคนลดลงไปถึง 15% โดย ดร.ปิเตอร์ โรเจอร์ นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลและทีมงาน ได้ทดสอบผลกระทบของน้ำต่อกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 60 คน ก่อนการทดสอบนั้น กลุ่มอาสาสมัครส่วนหนึ่งไม่ดื่มน้ำอะไรเลย และอีกส่วนหนึ่งดื่มน้ำก๊อก แช่เย็นจัดที่อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ในปริมาณ 1 แก้ว หรือ 300 มิลิลิตร
          ปรากฏว่าคนที่หิวกระหายน้ำก่อนการทดสอบและดื่มน้ำเข้าไป สามารถทำแบบทดสอบได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มอะไรประมาณ 10% ส่วนกลุ่มที่ไม่รู้สึกกระหายน้ำ แต่ดื่มน้ำเย็นจัดปรากฏว่าขีดความสามารถ ในการทำแบบทดลองลดลงไปถึง 15 %
          นักวิจัยสรุปว่า การดื่มน้ำเย็นจัดมากเกินไปจะมีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการขับรถ หรือทำงานที่ต้องใช้สมอง หรือความคิดมากๆ โดยอุณหภูมิของน้ำดื่มอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสมอง
          รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าดื่มน้ำเย็นจัดจนเกินไป ควรจะดื่มน้ำที่อุณหภูมิปกติจะดีกว่า

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

เครื่องดื่มป้องกันโรค

เครื่องดื่มป้องกันโรค



อาหารและเครื่องดื่มที่ดีมีประโยชน์จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ป้องกันโรคได้ สิ่งหนึ่งที่เราควรจำให้ขึ้นใจก็คือ การป้องกันมีราคาถูกกว่าการรักษายามเจ็บป่วย ดังนั้น เราจึงควรกินและดื่มให้เป็นยาต้านโรคก่อนที่โรคจะรุกรานเรา

     น้ำ ขจัดสารพิษ  หากขาดน้ำร่างก่ายก็ไม่สามารถอยู่ได้ เพราะน้ำจะช่วยลำเลียงสารอาหารไปยังเซลล์ต่าง ๆ ช่วยขจัดสารพิษ ปรับระดับอุณหภูมิให้ร่างกายดังนั้นจึงควรดื่มน้ำให้ได้วันละประมาณ 1.5 ลิตร

     ชา ป้องกันโรคฟันผุ  ชาช่วยป้องกันอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้ ไม่มีแคลอรี ในชาเขียวและชาดำมีฟูลออไรด์เป็นจำนวนมากที่จะช่วยทำให้ฟันแข็งแรงและยับยั้งฟันผุ เพื่อให้ได้ผลควรดื่มชาร้อนหรือชาอุ่น ๆ และไม่ควรดื่มชาที่เหลือค้างคืน

     โยเกิร์ต ช่วยขจัดสารพิษ  ในโยเกิร์ตมีแร่ธาตุเช่น แคลเซียมและโพแทสเซียม ซึ่งมีความสำคัญสำหรับน้ำในร่างกาย นอกจากนี้โยเกิร์ตยังมีประโยชน์สำหรับดวงตาและผิวกรดนมในโยเกิร์ตช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกายและให้ประโยชน์กับแบคทีเรียในลำไส้

     นม ช่วยให้กระดูกแข็งแรง  ในนมมีโปรตีนสูงซึ่งง่าย ต่อการย่อย และมีแคลเซียมสูง ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนในวัยชรา และกรดไขมันในนมจะช่วยให้เส้นเลือดยืดหยุ่น

     น้ำแอปเปิ้ล ป้องกันมะเร็ง  น้ำแอปเปิ้ลสด ๆ มีคุณค่ามากที่สุดช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนพลังและป้องกันมะเร็ง ช่วยให้มีสมาธิ สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ต้องเป็นแอปเปิ้ลที่ไม่ผ่านการแว็กซ์ หากไม่แน่ใจก็ปอกเปลือกแอปเปิ้ลทิ้ง แม้ว่าเปลือกของมันจะมีประโยชน์ก็ตาม

     น้ำลูกแพร์ ป้องกันความเครียด  มีกรดโฟลิกสูงซึ่งจะช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนแห่งความสุข ช่วยให้มีอารมณ์ร่าเริงแจ่มใส
 
     น้ำผัก ป้องกันโรคอ้วน  เหมาะสำหรับเด็กเป็นอย่างยิ่งเพราะมีน้ำตาลต่ำกว่าน้ำผลไม้ และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ควรดื่มน้ำผักสดที่ปั่นเเองและไม่เติมน้ำตาล ที่สำคัญคือควรเป็นผักปลอดสารพิษ

     น้ำแครอต บำรุงสายตาและป้องกันมะเร็ง  เพื่อให้การดูดซึมวิตามินเอจากแครอตได้ดีขึ้นควรรับประทานอาหารที่มีไขมันตามไปด้วย แต่ก็ไม่ควรดื่มน้ำแครอตมากเกินไปเพราะจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากวิตามินเอจะถูกกักเก็บไว้ในตับ

     น้ำมะเขือเทศ ป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและช่วยให้ผิวอ่อนวัย  ถ้าอยากดื่มน้ำมะเขือเทศให้อร่อยควรเติมพริกไทยและเกลือลงไปด้วยในมะเขือเทศมีสารไลโคปีนซึ่งจะช่วยป้องกันมะเร็งและป้องกันไม่ให้ผิวแก่ก่อนวัยหากเป็นมะเขือเทศทีผ่านการทำให้สุกด้วยความร้อนก็จะยิ่งมีไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศดิบที่สำคัญคือไม่ควรดื่มน้ำมะเขือเทศที่เย็นจัด

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

5 สุดยอดอาหารสุขภาพ สำหรับเทศกาลกินเจ

5 สุดยอดอาหารสุขภาพ สำหรับเทศกาลกินเจ



    5 อาหารที่ช่วงไม่ควรพลาดช่วงเทศกาลกินเจ นอกจากจะทำให้การกินเจราบรื่นแล้ว ยังช่วยทำให้ได้สารอาหารครบถ้วนอีกด้วย

              ในช่วงเทศกาลกินเจมีอาหารหลายชนิดที่เป็นอาหารต้องห้ามและควรหลีกเลี่ยง ที่สำคัญก็คือเนื้อสัตว์ และบรรดาอาหารที่มีกลิ่นแรง แต่หลายคนที่ยังเป็นมือใหม่ในการกินเจ อาจจะยังไม่รู้ว่าอาหารชนิดใดบ้างที่เราสามารถทานได้และดีต่อสุขภาพ วันนี้จึงได้นำเอาตัวอย่างอาหารที่สามารถรับประทานได้ในช่วงเทศกาลกิน


    1. เต้าหู้

              เต้าหู้เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพและเหมาะกับเทศกาลกินเจอย่างมาก เพราะเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน สังกะสี ธาตุเหล็ก แถมยังมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่คอเลสเตอรอลน้อย 

              เต้าหู้ธรรมดาเพียงครึ่งถ้วยก็ให้แคลเซียมได้ถึง 100 มิลลิกรัม และในเต้าหู้ที่อุดมไปด้วยแคลเซียมนั้นสามารถให้แคลเซียมได้มากถึง 350 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับต่อวัน แถมยังทำให้ได้รับวิตามินดีสูงถึง 30% ของวิตามินดีที่ควรได้รับในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและนำไปใช้และเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง แต่ก็ไม่ใช่แค่ในเต้าหู้เท่านั้นที่จะมีสารอาหารสูงขนาดนี้ ในนมถั่วเหลืองก็เป็นแหล่งของสารอาหารที่สูงพอ ๆ กับเต้าหู้เช่นกัน


    2. ถั่ว 

              การรับประทานถั่วอย่างน้อย 1 ถ้วยต่อวันจะทำให้ได้ธาตุเหล็กและโปรตีน 1 ใน 3 ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน และยังได้ไฟเบอร์เกือบกึ่งหนึ่งของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันอีกด้วย ทั้งนี้สารอาหารที่อยู่ในถั่วส่วนใหญ่เป็นไฟเบอร์ที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งสามารถลดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ นอกเหนือจากนี้ถั่วเพียง 1 ถ้วยยังมีสารอาหารอย่างโพแทสเซียม สังกะสี วิตามินบี และแคลเซียมจำนวนมากอีกด้วย


     3. ถั่วเปลือกแข็ง
              ถั่วเปลือกแข็งที่เป็นแหล่งอุดมไปด้วยโปรตีนที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ ถั่ววอลนัท ถั่วลิสง ถั่วอัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วพีแคน แมคคาเดเมีย และถั่วบราซิล ซึ่งถั่วเหล่านี้มีสังกะสี วิตามินอี และกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่มาก ตัวอย่างเช่น ถั่วอัลมอนด์เพียงครึ่งถ้วยก็มีแคลเซียมถึง 175 มิลลิกรัม ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาบ่งชี้ว่าถั่วมีแคลอรี่สูง แต่เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วก็ไม่มีผลทำให้น้ำหนักขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็สันนิษฐานว่า อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อเรากินถั่วเข้าไปแล้ว จะทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว ส่งผลให้เราทานอาหารอื่น ๆ ได้น้อยลงนั่นเอง



    4. ธัญพืช
              เราจำเป็นที่จะต้องบริโภคไข่หรือนมจำนวนมากเพื่อให้ได้รับวิตามินบี 12 เพียงพอ แต่ในเมื่อเรากินเจจะทานอาหารเหล่านี้ได้อย่างไรล่ะ งั้นก็ต้องพึ่งธัญพืชแล้วค่ะ เพราะธัญพืชบางชนิดกลับอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 ในปริมาณที่เทียบเท่ากับปริมาณที่ต้องการในแต่ละวันซึ่งเป็นไปได้ยากมากสำหรับอาหารชนิดอื่น ๆ และยังมีปริมาณธาตุเหล็ก แคลเซียม และอื่น ๆ สูง นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายแถมยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้และโรคในทางเดินอาหารอื่น ๆ อีกด้วย


    5. ผักใบเขียว

              ผักใบเขียวที่มีสีเขียวเข้มอย่างเช่น ผักโขม บรอกโคลี และผักคะน้านั้นมีปริมาณของธาตุเหล็กสูง โดยเฉพาะผักโขมที่มีปริมาณถึง 6 กรัมซึ่งนับเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน ผักใบเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อการต้านเชื้อมะเร็ง แถมยังมีปริมาณกรดโฟลิก วิตามินเอ และแคลเซียม แต่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่ร่างกายสามารดูดซึมได้ในทันที ดังนั้นเมื่อนำผักใบเขียวไปปรุงเป็นอาหารให้บีบน้ำมะนาวหรือใส่น้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย เพื่อทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้




วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิตามินซี ไม่ได้ดีไปหมดอย่างที่คิด!

ความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิตามินซี ไม่ได้ดีไปหมดอย่างที่คิด!

หลายคนเคยได้ยินมาว่าวิตามินซีนั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เมื่อทานเข้าไปแล้วสามารถป้องกันหวัด ป้องกันโรคอื่น ๆ ได้อีกมากมาย แล้วยังทำให้ผิวขาวใสขึ้นได้ หาซื้อก็ง่าย ราคาก็ไม่แพงมากนัก จึงทำให้เป็นวิตามินที่สาว ๆ หลายคนเลือกทานกันจนเป็นอาหารเสริมประจำกระเป๋าเลยทีเดียว แต่คุณผู้อ่านทราบหรือไม่คะว่า บางทีสิ่งที่เราเคยได้ยินหรือเข้าใจเกี่ยวกับวิตามินซีมากนั้น มันอาจไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจมาตลอดก็ได้ วันนี้ลองมาอ่านแล้วทำความเข้าใจกันเสียใหม่ดีกว่าค่ะ ว่าวิตามินซีนั้น ดีไปหมดทุกอย่าง อย่างที่คุณเคยเข้าใจมาหรือเปล่า

1. ความจริงแล้ววิตามินซีไม่ได้ป้องกันหวัดได้
นี่เป็นความเชื่อที่เชื่อฝังหัวกันมานาน จึงทำให้มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้จัดการทดสอบขึ้น โดยให้คนจำนวนเท่า ๆ มาทดลองทานวิตามินซีทุกวันดู เทียบกับอีกกลุ่มที่ไม่ได้ทาน ผลปรากฏว่าในจำนวนคนทั้งสองกลุ่มนั้นมีผู้ป่วยเป็นหวัดในจำนวนที่ไม่ได้แตกต่างกันเลย ดังนั้นความเชื่อนี้จึงต้องแก้ไขเสียใหม่แล้วว่า ความจริงวิตามินซีไม่ได้ป้องกันหวัดได้แต่อย่างใด
2. วิตามินซีก็ไม่ได้ทำให้หวัดหายเร็วขึ้นด้วย
ข้อนี้ต่อเนื่องมาจากข้อที่แล้ว เพราะมีนักวิจัยได้ทำการทดสอบแบบเดียวกัน โดยให้ผู้ที่เป็นหวัดทานวิตามินซี กับอีกกลุ่มที่ไม่ได้ทาน ผลปรากฏว่า ผู้ที่ป่วยเป็นหวัดไม่ได้หายเร็วขึ้นแต่อย่างใด แต่กรณีนี้พอได้ผลอยู่บ้างสำหรับผู้ป่วยที่เป็นเด็ก
3. การทานวิตามินซีมากเกินไป จะมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรงด้วย
วิตามินซีนั้นทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ เพราะมีความเป็นกรดสูง ดังนั้นควรเลือกทานวิตามินซีที่มีค่า pH ที่ 7.6-8 เท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วนานไปอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
วิตามินซีเป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติในการดูดซับธาตุเหล็กได้มาก การทานวิตามินซีมากเกินไปจะทำให้เกิดการสะสมธาตุเหล็กในข้อ จึงเป็นสาเหตุของโรคเก๊าต์และข้อเสื่อมได้อีกด้วย
เห็นด้านร้าย ๆ ของวิตามินซีกันแล้ว ทีนี้ก็ละความคิดที่ว่าวิตามินซีคือวิตามินครอบจักรวาลเสียทีนะคะ แต่ควรทานเพื่อให้ร่างกายรับวิตามินซีแต่เพียงพอและไม่ขาดแคลนจะดีกว่า


วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

สมุนไพรไทยลดความอ้วน ลดไขมัน

สมุนไพรไทยลดความอ้วน ลดไขมัน


    1. มะนาว

              ถ้าพูดถึงสมุนไพรที่รสชาติเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดที่สามารถลดน้ำหนักได้ ก็คงต้องนึกถึงมะนาวอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้มะนาวกลายเป็นพืชสมุนไพรยอดนิยมที่นำมาใช้ในการลดน้ำหนัก แถมสูตรในการลดน้ำหนักด้วยน้ำมะนาวก็ยังมีหลากหลาย 

              เหตุผลที่น้ำมะนาวสามารถลดความอ้วนอย่างได้ผลก็เป็นเพราะมะนาวมีกรดต่าง ๆ ซึ่งช่วยในการสลายไขมัน นอกจากนี้มะนาวยังมีวิตามินซีสูง เมื่อได้รับเข้าไปในปริมาณที่พอเหมาะก็จะทำให้ไขมันในร่างกายลดลง ระดับไตรกลีเซอไรด์ก็จะเป็นปกติ ไขมันเลวจะลดลงและช่วยให้ไขมันดีเพิ่มขึ้น แถมมะนาวยังมีไฟเบอร์สูง ทำให้รู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหารได้ ใครที่กำลังอยากจะลดความอ้วนแล้วชอบรสเปรี้ยวล่ะก็ มะนาวนี่ล่ะไม่ควรพลาด

    2 . เม็ดแมงลัก

              แม้ว่าเม็ดแมงลักจะไม่ได้มีสารอาหารที่ช่วยในการลดความอ้วนโดยตรง แต่เม็ดแมงลักก็สามารถช่วยในการควบคุมอาหารได้ เพราะเม็ดแมงลักเป็นพืชที่ไม่ก่อให้เกิดพลังงาน แถมยังสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า หากนำมารับประทานก่อนอาหารก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง และช่วยให้ทานอาหารได้น้อยลง 

              นอกจากนี้เม็ดแมงลักยังสามารถรับประทานได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ปลอดภัยต่อหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรอีกด้วย แต่ถ้าใครที่ไม่ชอบกินเม็ดแมงลักจืด ๆ ล่ะก็ ก็ลองนำไปกับผสมเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้ตามใจชอบ แต่ก็ต้องนำไปแช่น้ำให้พองจนเต็มที่ก่อนด้วยล่ะ ไม่งั้นอาจทำให้ท้องอืดและท้องผูกแทน

    3. ลูกสำรอง

              ลูกสำรอง หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า "พุงทะลาย" ซึ่งก็มีสรรพคุณในการลดความอ้วนได้เหมือนชื่อเลยล่ะ เพราะลูกสำรองเมื่อนำไปแช่น้ำก็จะเกิดการพองตัวและเมื่อรับประทานเข้าไปก็จะทำให้อิ่มและทานอาหารได้น้อยลง นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดไขมันให้ออกมาจากร่างกาย ล้างไขมันที่อยู่ในลำไส้ ด้วยการดูดซับไขมันเอาไว้แล้วขับออกมาในรูปแบบของการขับถ่าย 

              แต่ก็มีข้อมูลทางเภสัชวิทยาพูดถึงการกินลูกสำรองติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดลดลงได้ ดังนั้นถ้าคิดจะใช้ลูกสำรองในการช่วยลดน้ำหนักล่ะก็ควรจะรับประทานให้พอเหมาะ

    4. กระเจี๊ยบแดง
              กระเจี๊ยบแดงที่เรานำมาทำเป็นน้ำกระเจี๊ยบ เป็นพืชสมุนไพรที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะกลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลือที่ติดอยู่กับผล สามารถใช้เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด โดยได้มีการศึกษาวิจัยและทดลองกับกระต่ายที่มีไขมันสูงแล้วพบว่าระดับไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอล และระดับไขมันเลว (LDL) ลดลง และมีปริมาณของไขมันชนิดดี (HDL) เพิ่มมากขึ้น แล้วก็ยังช่วยบรรเทาความรุนแรงของการอุดตันหลอดเลือดแดงใหญ่จากหัวใจให้น้อยลง 

              ขณะที่ในประเทศอียิปต์ ยังมีการนำกระเจี๊ยบแดงทั้งต้นมาต้มกินเป็นยาลดน้ำหนัก เนื่องจากเป็นยาระบายและยังช่วยฆ่าเชื้อในลำไส้ได้อีกด้วย แต่เราไม่จำเป็นตองไปหาต้นกระเจี๊ยบมาต้มกินก็ได้ ถ้าอยากลดน้ำหนักด้วยกระเจี๊ยบจริง ๆ ละก็ ก็ลองหาน้้ำกระเจี๊ยบที่ไม่ผสมน้ำตาลมาดื่มก็จะช่วยได้เหมือนกันนะ

    5. ดอกคำฝอย

              ดอกคำฝอย เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ดีต่อการลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยขับเหงื่อ ซึ่งเหมาะมากหากจะนำมาชงดื่มก่อนนอน เพราะเป็นยาระบายอ่อน ๆ สามารถช่วยในการขับถ่าย ลดหน้าท้อง และช่วยลดน้ำหนัก ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันเราสามารถหาซื้อดอกคำฝอยสำเร็จรูปมาชงดื่มได้ง่าย 

              แต่ถ้าใครชอบความสดใหม่มากกว่าก็สามารถหาซื้อดอกคำฝอยที่มีสีแดงจัดมาต้มในน้ำเดือดประมาณ 5 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ ถ้าหากอยากได้รสชาติหวานก็สามารถเติมน้ำตาลได้ตามชอบ แต่ถ้าหากจะดื่มเพื่อลดความอ้วนล่ะก็ ควรจะเปลี่ยนมาใส่หญ้าหวานแทนเพื่อให้ได้รสชาติหวาน แถมยังได้ลดความอ้วนแบบสองต่อเลย 

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

อยากลดน้ำหนัก แต่ติดขนมหวาน ทำไงดี

    อยากลดน้ำหนัก แต่ติดขนมหวาน ทำไงดี


    แน่นอนอยู่แล้วครับ ว่าการลดน้ำหนักนั้น ต้องสวนทางกับขนมหวาน เพราะขนมหวานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ของหวาน เค้ก ขนม น้ำแข็งใส น้ำผลไม้ปั่น น้ำชง ที่ให้ความหวานความอร่อยให้กับเรานั้น เป็นตัวถ่วงในการลดน้ำหนักของเราอย่างมาก แต่ถ้าเราอยากกินสักนิดล่ะ.. .จะอ้วนไหม หรือต้องกินอะไรได้ มาดูคำตอบกัน !

              ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปัจจัยสำคัญในการลดน้ำหนัก นั่นคือ "ความหนักแน่น" โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะฉะนั้นการลดน้ำหนัก ที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยง แต่หากว่าต้องการบ้างเล็กน้อย ก็เลือกของหวานที่ให้ประโยชน์และให้ความอ้วนน้อยที่สุด

              สาเหตุของความอ้วน คือ แป้ง น้ำตาล และไขมัน เพราะฉะนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงขนมที่เต็มไปด้วยแป้ง มันฝรั่ง และรสหวานจัด รวมถึงผ่านกรรมวิธีด้วยการทอด หรือหากมีก็ควรเลือกแบบแป้งที่เป็นโฮลวีต น้ำตาลแบบใช้สารความหวาน หรือจากการทอดเป็นการอบแทน

              นอกจากนั้นเราก็พยายามหาตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับของหวานมาตอบโจทย์ความต้องการของเรา ซึ่งเป็นของหวานที่ไม่ทำให้เราอ้วน จะมีอะไรบ้างนั้น ลองมาดูกันครับ

      ผลไม้สด

                สำหรับการเลือกผลไม้นั้น ก็ต้องหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัดและมีกากใยน้อย อย่าง ทุเรียน ลำไย เงาะ เหล่านี้เป็นผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงค่ะ เปลี่ยนมาเป็นผลไม้ที่มีรสหวานน้อยและมีกากใยสูงอย่าง แอปเปิล สาลี่ มะละกอ ฝรั่ง แก้วมังกร กล้วย แทน

      ประเภทถั่ว

                สำหรับอาหารว่างอีกชนิด ที่จะพอแทนขนมได้ นั่นก็คือ พวกถั่ว ไม่ว่าจะเป็น ถั่วอัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน แต่ทั้งหมดนี้ต้องผ่านการอบนะครับ ไม่ใช้การทอด และห้ามปรุงรสด้วยการใส่เกลือด้วยครับ

      โยเกิร์ต Low Fat

                เลือกโยเกิร์ตที่เป็นแบบไขมัน 0% ค่ะ หรือถ้าโยเกิร์ตยังไม่ชอบ ก็สามารถหาผลไม้สดที่มีกากใยมาใส่เพิ่มได้ ทั้งแอปเปิล มะละกอ ฝรั่ง  เพื่อเพิ่มรสชาติและความอร่อยได้อีกทาง

      น้ำหวานแบบไม่ใส่นม

                ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว โดยต้องเป็นชาเขียวที่ไม่ผสมนม และใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือจะเป็นน้ำผึ้งมะนาวก็ได้ โดยน้ำผึ้งมะนาวนั้นเราควรเลือกชงเองจะดีกว่าการซื้อจากข้างนอก เพราะร้านค้านั้นจะผสมน้ำตาลเข้าไปมากพอสมควรครับ

       ซึ่งหลังจากที่เรากินของว่างและของหวานต่าง ๆ เข้าไปแล้ว ให้ดื่มน้ำตามเข้าไปอีกหน่อย จะได้รู้สึกอิ่มท้องมากขึ้นนะคะ โดยเวลาที่ควรเลือกกินขนมหรือของว่าง คือ ช่วงสายหรือช่วงบ่ายต้น ๆ ค่ะ เพราะหลังจากอาหารเที่ยงนั้น เราจะมีกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ มากมาย เพื่อที่จะใช้พลังงานออกไปให้หมด ส่วนช่วงเย็นห้ามกินเด็ดขาด เพราะเป็นช่วงเวลาที่ใกล้จะพักผ่อน หรือเข้านอนแล้ว หากเราไม่ได้ใช้พลังงานออกไป อาจจะทำให้ไขมันสะสมในร่างกายได้

                เพียงแค่เรารู้จักเลือก กินในปริมาณน้อย และออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญอาหารเหล่านั้นออกไปอย่างสม่ำเสมอ เราก็จะสามารถกินได้บ่อย ๆ ตลอดการลดความอ้วนเลยครับ