ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ส่วนตัวแล้วไม่ได้มีความคิดจะต่อต้านการรับประทานขนมของน้องๆ หนูๆ นะคะ เพราะขนมก็เหมือนกับอาหารประเภทอื่นๆ คือบางชนิดมีประโยชน์และบางชนิดรับประทานแล้วก็ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย ที่เห็นโดยทั่วไปก็คือ คุณพ่อคุณแม่มักจะคิดว่า การให้ลูกตัวเล็กรับประทานอาหารขนมขบเคี้ยว ขนมหวานหรือแม้แต่ไอศกรีมแค่ไม่กี่ครั้งต่อเดือน ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกและผิด
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า ถ้าสังเกตดูชั้นขายนมตามซูเปอร์มาเก็ตเราจะพบว่า มีนมชนิดที่ lactose free กับนม whole milk หรือจะนมไขมัน 0% ขณะที่วางอยู่ใกล้ๆ กันคือ น้ำนมถั่วเหลือง สำหรับเด็กที่แพ้นมวัว นั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า เด็กสามารถพัฒนาการแพ้อาหารและสารอาหารได้ตั้งแต่ยังแบเบาะ ในทางตรงข้ามเด็กบางคนก็ไม่ได้มีอาการแพ้สารอาหารชนิดใดเลย ยังคงรับประทานนมวัวได้ตามปกติ นั่นก็เป็นเพราะ ความถี่และความทนของเด็กแต่ละคนมีไม่เท่ากัน เด็กบางคนสามารถรับประทานอาหารบางประเภทได้ แต่เด็กบางคนก็รับประทานไม่ได้ เพราะเมื่อรับประทานแล้วร่างกายจะแสดงผลออกมาโดยทันที รวมถึงจำนวนหรือปริมาณที่รับประทานเข้าไปก็ย่อมส่งผลเช่นเดียวกัน จะพบได้ว่า เด็กบางคนรับประทานน้อยแต่ก็แพ้ แต่เด็กบางคนรับประทานมากแต่ไม่แพ้ เป็นต้น
เมื่อตอนที่แล้ว ได้เกริ่นถึงตัวร้ายทำลายสมองซึ่งนั่นก็คือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอาหาร ซึ่งสามารถอธิบายได้คร่าวๆ คือ เมื่อเรารับประทานน้ำตาลที่ไม่ดี หรือสารปรุงแต่งที่ไม่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ชีวเคมีของร่างกายทำงานไม่สมดุล ดังนั้น สมองในฐานะตัวควบคุมจะรีบส่งสัญญาณไปยังต่อมหมวกไต (เนื่องจากต่อมหมวกไตมีหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนที่จะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ทำให้จำนวนกลูโคส ซึ่งถือว่ามีความสำคัญในการทำงานของสมองมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนไกลโคเจนจะถูกสะสมในตับมากขึ้น) เมื่อต่อมหมวกไตได้รับสัญญาณก็จะผลิต stress hormone (หรือฮอร์โมนแห่งความเครียด) ออกมา เมื่อ stress hormone ออกมามากทำให้สมองส่งคำสั่งไปยังร่างกายส่วนต่างๆ ให้เคลื่อนไหวเพื่อลดภาวะความเครียดนั้น เพราะสมองรู้ว่า การเคลื่อนไหวเป็นการปรับให้ชีวเคมีของร่างกายกลับมาสู่จุดสมดุล
ดังนั้น เราจะพบว่า เด็กที่ชอบรับประทานขนมหรืออาหารที่มีส่วนประกอบเหล่านี้มากๆ ตั้งแต่ยังเล็กๆ กลับกลายเป็นเด็กที่ชอบวิ่งไปมา อยู่ไม่นิ่ง กระโดด ไม่นั่งอยู่กับที่ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมเด็กเหล่านี้จึงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กสมาธิสั้นเมื่อโตขึ้น
มหาวิทยาลัย Yale ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับระดับน้ำตาลในสมองของเด็กที่รับประทานขนมเป็นประจำ (คือมากกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์) กับเด็กปกติแล้วพบว่า เด็กที่รับประทานขนมมีคะแนนน้อยกว่าเด็กปกติในด้านการเรียนและสมาธิในการเรียน รวมถึงเด็กเหล่านี้มักจะมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น พูดเร็ว วิ่งไปมา ไม่สนใจเรียน หลังจากที่รับประทานขนมผ่านไป 3 ชั่วโมง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงทันที และมีแนวโน้มที่จะรับประทานขนมมากขึ้นเพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่